วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 ไอเดียแอ๊บจีบหนุ่มแบบเนียนๆ


       By Lady Manager
       
       หากเราชอบอยากเข้าสปาร์คชาร์จใครสักคนแต่ไม่อยากให้กระโตกกระตากจนไก่ตื่น หรือไหวตัว เพราะความเป็น “ผู้หญิง” นั้นทำให้ยากแก่การจีบ มันจะไม่งาม แหม..อยากสอยผู้ชายสักคน..ทำไมมันช่างยากเย็นจังฮู้

       
       จริงๆ แล้ว มันง่ายดั่งสอยรูเข็ม! แค่รู้ทริก 

       
       เรามีไอเดียเด็ดโดนช่วยคุณสานสัมพันธ์หนุ่มที่แอบหมายปองแบบแนบเนียนเจ้าตัวแทบไม่รู้ตัว พอมารู้ตัวอีกทีก็ได้ “ใจ” เราไปครอบครองเต็มแม็กซะแล้ว

       แอ๊บเนียนแรก
       ->ทักผิดหนังหน้าคล้ายเพื่อนสมัยเรียน
      
       “เอ่อ ขอโทษนะคะ หน้าคุณดูคุ้นจังเลย เคยเรียนมัธยมที่โรงเรียน (โม้มอยไปเหอะ เอาซัก ร.ร.) หรือเปล่าคะ” หลังจากแกล้งทักผิด โปรดทำหน้าฉงนงงงวย คล้ายว่าทักผิดจริงๆ เมื่อเขาตอบกลับว่า “คงจำคนผิดแล้วมั้งครับ” ใช้ช่วงจังหวะสวรรค์โปรดนี้ คลุกวงในทางคำพูดทันที สานสายใยรักถามกลับอีกว่า “หรือไม่ก็เป็นเพื่อนของเพื่อน” โม้ไปให้เนียนๆ จนรู้จักโปรไฟล์โคตรเหง้าเขาให้สิ้น
       
       การทำเนียนทักผิดแบบนี้ ทำให้เราได้สนทนาหรือทำความรู้จักกันอย่างสนิทสนม อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเขาเรียนที่ไหน บ้านอยู่ไหน ลูกเต้าเหล่าใคร จากนั้นก็แล้วแต่ความสามารถของคุณว่าจะคุยกันต่อในอนาคตได้อีกหรือเปล่า

      
       แอ๊บเนียนสอง
       ->ร่วมแจมแท็กทีมของเขา
       
       ผู้ชายส่วนใหญ่มักชอบกีฬา จะมีก็แต่เก้งกวางเท่านั้นแหล่ะที่จะไม่ปลื้ม หากหนุ่มที่เราชอบเป็นนักฟุตบอลหรือเล่นบาสเก็ตบอล เราจะมานั่งมองน้ำลายไหลในกล้ามปูของเขาเฉยๆ ได้ไง ต้องเอาตัวเข้าไปมีส่วนร่วมในทีมทุกอิริยาบถด้วยซิ

       
       หากสวยเอ็กซ์หน่อย ขอแนะนำให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ แต่หากหน้าเน่าปนหน้าปลวกงั้นทางนี้เลย ฝ่ายปฐมพยาบาล หรือไม่ก็เด็กเก็บบอล ฝ่ายคอสตูมอะไรก็ว่าไป อย่างน้อยๆ ก็ได้สัมผัสตัว แต๊ะอั๋งเขาในช่วงเวลาบาดเจ็บไงล่ะ เก๋ม่ะ!

      
       แอ๊บเนียนสาม
       ->มือถือหาย ขอโทรเข้าเครื่องตัวเองหน่อย
      
       
คอนเฟิร์ม! วิธีนี้ถือว่าสำเร็จมาแล้วหลายราย ก่อนอื่นเล็งหาผู้ชายที่เราแอบปลื้มก่อนว่าเขามี “มือถือ” หรือไม่ และต้องไปแอบสีเขาช่วงที่เขากำลังโทรศัพท์คุยโม้อยู่ด้วย หลังจากนั้นคุณจงสวมบทบาทของหายให้มันแนบเนียน “อุ้ย! ทำไงดี โทรศัพท์หายไปไหนไม่รู้ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย” พูดเสียงดังฟังชัดเนื้อๆ เน้นๆ ให้เขารับรู้ อย่าพูดเสียงหงุงหงิงในลำคอเด็ดขาด หากเขาหูตึงแผนอาจล้มไม่เป็นท่า
      
       
เมื่อเขาได้ยินดังนั้น เขาอาจจะช่วยคุณหา หรือไม่ก็ “งั้น เดี๋ยวผมโทรเข้าเบอร์คุณให้ไหมครับ” แบบนี้เขาเรียกว่าเหยื่อติดเบ็ด แต่หากเจอพวกบื้อ เซ่อ คุณก็ต้องออกปากพูดขอยืมโทรศัพท์เขาเองอ่ะนะ
       
       แต่รับรองไม่มีผู้ชายคนไหนใจดำไม่ให้ยืมหรอกนอกเสียจาก “ค่าโทรหมด” ถือว่าซวยชวดไป แต่อย่าลืมคุณต้องทำหน้าทำตาว่ามือถือหายจริงๆ ประหนึ่งบ้านโดนไฟไหม้ แม่โดนหมากัดเลยนะ จากนั้นคุณก็จะได้เบอร์หนุ่มสุดเลิฟไว้โทรกริ๊งกร๊างแกล้งโทรผิดไงล่ะ

      
       แอ๊บเนียนสี่
       ->ช่วยทาครีมกันแดดให้หน่อยซิคะ
      
       แน่นอนไปพักร้อนชายทะเลเราต้องทา “ครีมกันแดด” มิเช่นนั้นอาจตัวดำเหนี่ยงเป็นเฉาก๊วยได้ แต่เมื่อสายตาไปแอบปิ๊งหนุ่มรูปงามปุ้บ มือไม้ของคุณต้องเริ่มใช้การไม่ได้ทันที เรียกว่าเป็นง่อยซะงั้น
       
       อ้างไปเลยคะ “รบกวนช่วยทาครีมกันแดดที่หลังให้หน่อยได้ไหมคะ พอดีทาไม่ถึง” อ้า! เสร็จโจร หากเขาเซย์เยส ปฏิบัติการสานรักขั้นแรกถือว่าสำเร็จ จากนั้นช่วงจังหวะที่เขาบรรจงลูบไล้ครีมกันแดดบนแผ่นหลังเรานั้น เราก็ชวนคุยโน้น คุยนี่ พักที่ไหน มาจากไหน ชื่ออะไร คำถามที่อยากรู้พรั่งพรูออกมาเลยคะ อย่าไปคิดว่าการกระทำแบบนี้ถือเป็นการ “อ่อย” เพราะแถวบ้านเขาเรียกว่า "ให้ท่า" หรอกย่ะ หากเราปล่อยเวลานี้หลุดลอยไปอาจจะไม่เจอเขาอีกแล้วก็ได้ ดังนั้นต้องรีบตักตวง มีน้อยกินตามน้อยเน้อ

      
       แอ๊บเนียนห้า
       ->เข้าฟิตเนส ให้เขาช่วยสอนออกกำลังกาย
       
       ฟิตเนสไม่ได้มีไว้สำหรับเก้งกวางกล้ามปูจุ้กกรูอย่างเดียว ผู้ชายแท้ๆ ก็มีย่ะ หากอยากเจอผู้ชายสุขภาพดีกล้ามเป็นมัด หน้าท้องเป็นลำ ต้องไปในสถานที่ที่ผู้ชายเหล่านี้เขาชอบไป แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เครื่องลู่วิ่งนี้เขากดกันอย่างไร อยากเล่นกล้ามท้อง กล้ามแขนทำอย่างไรดีคะสำหรับผู้หญิง สารพัดคำถามตะบันถามเข้าไป เดี๋ยวเขาก็รำคาญสอนเราเอง 

       
       หลังจากออกกำลังกายกันเสร็จก็แสดงความขอบคุณด้วยการชวนเขาไปทานข้าวเล็กน้อย เพราะหลังออกกำลังกายแน่นอนความอยากอาหารจะเพิ่มทวีคูณ ไอ้นี่ก็น่ากิน นั่นก็น่ากระแทกปาก เชื่อซิ หากเขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง เขาต้องรีบกุลีกุจอเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ไปกับเรา แต่หากเขามีแท่งก็จริงแต่เอาไว้ใช้กับชายรักชายคงบ่ายเบี่ยงโน้นนี่ ขอให้คุณทำใจปั่นจักรยานออกกำลังกายให้น่องโป่งรอบหมู่บ้านเหอะ ไม่ต้องไปแล้วฟิตเนสอ่ะ เปลือง!

      
       แอ๊บเนียนหก
       ->ช่วยติดตะขอสร้อยคอหน่อยซิคะ
      
       ก่อนจะเอื้อนเอ่ยรบกวนเขาติดตะขอสร้อยขอให้ พึงสำรวจกลิ่นตัว คราบเหงื่อไคลช่วงต้นคอก่อนว่ามีขี้ไคลเป็นชั้นเหมือนหินปูน กลิ่นตัวเหม็นเปรี้ยวพาอายหรือไม่ มิเช่นนั้นเขาอาจรังเกียจเราได้ ปะพรมน้ำหอมกลิ่นละมุนให้ปะทะจมูกเขาเล็กน้อยยิ่งดีใหญ่
       
       แน่นอนการใส่ตะขอสร้อยคอเองจากข้างหลังทำยากจะตาย (แต่หากขยับสร้อยมาไว้ข้างหน้าก็ใส่ตะของ่ายแล้วนะ แต่เราไม่ทำ เพราะเราอยากให้เขาใส่ให้ มีรัยปะ) คุณผู้ชายสุดแมนที่เราหมายปองจะไม่รีรอหลังเราขอความช่วยเหลือหรอก มิหนำซ้ำมือของเขาอาจเผลอสัมผัสต้นคออันขาวเนียนของเราอีกซะด้วย แซ่บหลาย!

      
       แอ๊บเนียนเจ็ด
       ->ขอให้เขาช่วยคอมเม้นท์เสื้อผ้าหน้าผม
       
       อันนี้เด็ด! กอบโกยข้อมูลความชอบส่วนตัวของเขา เราจะได้รู้ไงว่า ผู้ชายที่เราแอบชอบแอบหลงอยากกินใจแทบขาด ชอบผู้หญิงสไตล์ไหน แต่งตัวอย่างไร เราจะได้แต่งแบบนั้น เอาให้เป๊ะ!
      
       
ชอบผู้หญิงผมสั้นเหรอ เจ๊จัดให้ พ่อแม่บอกให้ตัดไม่เคยเชื่อไม่เคยฟังพอผู้ชายพูดไม่ทันขาดคำวิ่งโร่เข้าซาลอน ไม่ชอบผู้หญิงแต่งโป๊เหรอ หนูทำได้ เดี๋ยวจัดหนักรุ่งเช้าใส่เสื้อแขนยาวคอเต่า กางเกงขายาวคลุมส้นเท้า งี้แหล่ะ ผู้หญิงเราทำได้ทุกอย่าง หากคนที่เรารักปริปากบอกคำเดียว!
       
       แอ๊บเนียนแปด

       ->เพิ่มเขาเป็นเพื่อนในเฟซบุค
      
       ต้องขอกราบขอบพระคุณโลกแห่ง social network งามๆ ซักทีสองที เฟซบุค (facebook) ทำให้เราได้รู้จักใครสักคนทั้งต่างวัฒนธรรม เชื้อชาติ และคนที่เรารู้สึกดีด้วยโดยที่เขาไม่รู้ตัว อีกทั้งได้รู้ทั้งวัน เดือน ปีเกิด ทำงานที่ไหน ชอบฟังเพลง ภาพยนตร์อะไร มีแฟนหรือยังโดยดูจากสถานะ แถมแอบ save as รูปภาพเขาได้อีกต่างหาก
       
       เพิ่มเขาเป็นเพื่อนแบบเนียนๆ เมื่อเขารับกดรับเราเป็นเพื่อนปุ้บ เราต้องรีบแผลงศรรักปั้บ อย่างเช่น “ขอบคุณที่รับเป็นเพื่อนค้า :)” จากนั้นคุณก็ทำเนียนทักทายเขาเป็นประจำ เขาอัพรูปอะไรใหม่ หรือโพสข้อความอะไรก็ตาม จงกด like ถูกใจ หรือแสดงความคิดเห็นให้เขารู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มีตัวตน ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนเขาในโลกออนไลน์ คุยตอบโต้กันไปมา จนสนิทชิดเชื้อและเมื่อถึงจุดอิ่มตัว เชื่อซิ เดี๋ยวเขาก็ขอเจอคุณตัวเป็นๆ คราวนี้แต่งองค์ทรงเครื่องให้นิ้งเหมือนรูปแอ๊บแบ๊วในโปรไฟล์เลยนะคะ 

      
       แอ๊บเนียนเก้า
       ->อวยสไตล์การแต่งตัวของเขา
       
       เขาจะใส่เสื้อม่อฮ่อม หรือแต่งตัวกะโหลกกะลา แว็นซ์บอยแค่ไหน โปรดหลับหูหลับตาชื่นชมไปเหอะ “อุ้ยตาย คุณแต่งตัวเท่ห์จังเลย เหมาะกับคุณม้ามาก” ผู้ชายพอได้ยินคำชมจากปากสาว รับรองปลื้มยิ้มทั้งวันหุบปากแทบไม่ลง 

       
       คำชมช่วยทำให้เขารู้สึกดีกับเราอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเจอเนื้อคู่ คุณรู้ไหม ว่าทำให้เขาประทับใจเมื่อแรกเจอ แล้วเราจะเข้าไปอยู่ในใจเขาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเขาบังเอิญหยิบเสื้อผ้าตัวนั้นในวันที่เราชมเปาะขึ้นมา จนทำให้เขาอยากสานสัมพันธ์อันดีต่อกับเรา นั่นคือ จุดเริ่มต้นที่ดีเมื่อคุณเจอคนที่ใช่ 

      
       แอ๊บเนียนสุดท้าย
       ->รถเสีย ยางแตกขึ้นมาเชียว
       
       ผู้ชายกับรถเป็นของคู่กัน ส่วนผู้หญิงน้อยคนนักจะรู้เรื่องเครื่องยนต์ แต่การแอ๊บเนียนข้อนี้ ก่อนอื่นคุณต้องรู้เสียก่อนว่า ชายหนุ่มคนที่เราปลื้มเขาซ่อมรถ เช็กเครื่องยนต์กลไกเป็นหรือไม่ หากคำตอบคือ “ไม่” งั้นจงข้ามข้อนี้ไปเสีย

       
       แต่หากเขาช่ำชองเรื่องรถละก็ ลุยเลยคะ แกล้งเหยียบตะปู เจาะยางตัวเองก็ได้ (หากทำถึงขนาดนี้คงต้องหล่อระดับพี่โดมผสมพี่เคนนะมันถึงจะคุ้มง่ะ” หรือจะเป็นการแอ๊บน้ำมันหมด ขอความช่วยเหลือด่วน ที่สำคัญ ช่วงเวลานั้นต้องปลอดคนวิเวกและวังเวงไม่ปลอดภัยเสี่ยงต่อการจี้ปล้น ฟ้ามืดมิดรถเมล์หมด แท็กซี่โบกไม่จอดยิ่งดีใหญ่ เผลอๆ อาจแจ็คพอตหากรถเสียเกินเยียวยาเขาอาสาขับไปส่งเราถึงบ้าน อ๊ะ! งานนี้คุ้มเว้ยเฮ้ย! รถพังช่างมันฉันไม่แคร์

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มดลูก..อวัยวะที่น่าสงสารของผู้หญิง/อ้วน อารีวรรณ



       jatung_32@yahoo.com
       
       เป็นประเด็นข่าวร้อนแรงมาหลายวัน แถมยังโด่งดังไปทั่วโลกแล้วในขณะนี้ สำหรับเหตุการณ์เจอะเจอซากศพเด็กทารกเป็นจำนวนถึงสองพันสองราย ที่วัดไผ่เงินเพียงแห่งเดียวเท่านั้น !?!

       แต่เมื่อได้รับฟังข้อมูลว่า ในแต่ละปีมีจำนวนผู้หญิงตั้งครรภ์เป็นล้านคน แต่มีจำนวนเด็กที่อยู่รอดเป็นทารกเพียงแปดแสนกว่าคนเท่านั้น แสดงว่าในระยะเวลาตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิชีวิตใหม่จนคลอดและมีชีวิตรอดออกจากครรภ์มารดาได้ ต้องมีจำนวนทารกถึงสองแสนกว่ารายที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดนอกครรภ์มารดาได้ ดังนั้นปรากฏการณ์ซากศพทารกในวัดไผ่เงินนี้ อาจเป็นแค่ “ยอดน้ำแข็งในทะเล”เท่านั้น 
       
       ทารกสองแสนกว่าราย ที่ไม่อาจมีสภาพบุคคลตามกฎหมาย และไม่ปรากฏชื่อ-สกุลตามทะเบียนบ้าน สะท้อนภาพความจริงของปัญหาอีกหลากหลายเรื่องในสังคมไทย

       
       โดยที่เราไม่อาจจะโทษผู้หญิงที่ทำแท้ง แต่เพียงฝ่ายเดียว..ได้ด้วย และเราคงต้องหันมาใส่ใจปัญหาอื่นๆ ที่เชื่อมโยงเกี่ยวพันถึงกันด้วย เพื่อมองหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อย่างรอบด้าน 

       
       เช่น ทำไม? ต้องมีการทำแท้ง เนื่องจากมีการตั้งท้องที่ไม่พร้อมใช่หรือไม่?

       
       และเหตุใด จึงเกิดปัญหา “ท้องไม่พร้อม” 

       
       แค่คำถามนี้ คำถามเดียว ก็ได้คำตอบ อีกนับสิบ นับร้อย คำตอบ

       
       และคำตอบที่ได้ยินบ่อยๆ คงหนีไม่พ้น สังคมเสื่อม, ศีลธรรมเสื่อม, ค่านิยมวัฒนธรรมไทยแต่ดั้งเดิมเสื่อม ฯลฯ 

       
       แล้วเราจะแก้ปัญหาความเสื่อมเหล่านี้ได้อย่างไรล่ะค่ะ? 

       
       ถ้าเป็นกรณี "ท้องแล้วไม่มีคนรับ" จนหาทางออกไม่ได้ เป็นปัญหาของการทำแท้งด้วยหรือไม่? 

       
       หรือ “ท้องแล้วเดือดร้อน” เพราะฐานะยากจน ไม่มีความสามารถในการเลี้ยงลูกได้ล่ะ?

      
       แล้วทำไม? ผู้หญิงถึงตั้งท้องขึ้นมาได้ ..รักสนุกอย่างนั้นหรือ? หรือขาดความรู้ในการคุมกำเนิด?
       
       แล้วเราจะช่วยกันป้องกันการตั้งท้องไม่พร้อมได้อย่างไร? 

       
       ตอนนี้ ท้องแล้ว จะให้ทำอย่างไร?

       
       ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ การตั้งท้องเกิดจากผู้ชายและผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กัน 

       
       แล้วหน้าที่ป้องกันการตั้งท้อง ควรเป็นหน้าที่ของใคร ?

       
       ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นเพราะผู้หญิงมีมดลูกใช่หรือไม่???

       
       “มดลูก” กล้ามเนื้อก้อนหนึ่งที่มีขนาดเท่าไข่ไก่หรือกำปั่น กับคุณสมบัติพิเศษที่สามารถยืดขยายใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่า เพื่อปกป้องคุ้มครองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในระยะเวลา 40 สัปดาห์ ควรจะเป็นอวัยวะสำคัญและมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ

       
       แต่ “มดลูก” อาจกลับกลายเป็นอวัยวะที่สร้างความเจ็บปวด อับอาย และอันตราย ให้กับผู้หญิงผู้เป็นเจ้าของได้ หากผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถดูแลอวัยวะนี้ได้ดีพอ ..ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน

       
       เมื่อปีที่แล้ว มีข้อมูลว่า ทั่วโลกมีผู้หญิงเสียชีวิตจากการทำแท้งราว 50,000-100,000 คน ในประเทศไทยเองได้มีการเก็บข้อมูลในโรงพยาบาลของรัฐ และพบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลจากการแท้งลูก มาด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด อุ้งเชิงกรานอักเสบ ตกเลือดจนต้องให้เลือด และมดลูกทะลุ หรือหมดโอกาสมีลูกได้อีกตลอดชีวิต

       
       อวัยวะภายในร่างกายของผู้หญิงเอง ซึ่งควรเป็นสิทธิธรรมชาติของผู้หญิงที่จะมีอำนาจตัดสินใจเลือกจะกระทำอย่างไรก็ได้ เนื่องจากเป็นเนื้อตัวร่างกายของตนเอง แต่สังคมและกฎหมายไทยยังเห็นว่า “คุณไม่สามารถกระทำอย่างถูกกฎหมายได้” 

       
       ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 305 บัญญัติให้ผู้หญิงสามารถทำแท้งได้ โดยไม่ผิดกฎหมายเพียง 2 กรณีเท่านั้น คือ ผู้หญิงจำเป็นต้องทำแท้งอันเนื่องมาจากการตั้งครรภ์เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้หญิงอย่างร้ายแรง และการที่ผู้หญิงนั้นถูกล่วงละเมิดทางเพศถูกข่มขืนจนตั้งครรภ์ เป็นต้น

       
       การแก้ไขปัญหาทำแท้ง จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งจากภาครัฐ ภาคสังคม และภาคประชาชน เราต้องสร้างความตระหนักและตระหนกร่วมกัน เพื่อการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังเสียที

       
       ภาครัฐ อย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เตรียมตรวจดีเอ็นเอซากศพเด็กทารกทั้งสองพันสองรายนี้ จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบได้ แต่เมื่อได้ยินข่าวดังกล่าว ก็ได้แต่ตั้งคำสงสัยว่า จะตรวจดีเอ็นเอเพื่ออะไร ? 

       
       หากต้องการหาตัวผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 ที่มีเนื้อหาว่า

       
       “ หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” 

       
       ซึ่งความผิดฐานทำให้แท้งลูกนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ค้นหาตัวผู้กระทำความผิด ซึ่งก็คือ หญิงที่ทำแท้ง ส่วนผู้หญิงที่กระทำเมื่อรู้ว่าหากตนยอมรับว่าทำแท้งลูก ตนก็จะมีความผิดอาญา แล้วใครจะออกมายอมรับว่าตนกระทำไปแล้วบ้าง มีแต่จะพยายามลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปเสียให้หมด

       
       หากคิดจะค้นหาผู้กระทำความผิดด้วยวิธีการตรวจดีเอ็นเอ เพื่อให้ทราบถึงความเกี่ยวพันทางสายเลือดเป็นแม่ลูกกันนั้น เมื่อไม่มีใครออกมายอมรับก็คงต้องเชิญผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ทั่วทั้งเมืองมาตรวจดีเอ็นเอกัน ถามว่า มีกฎหมายฉบับใดที่สามารถบังคับให้ผู้หญิงทั้งหมดมาตรวจดีเอ็นเอได้ ? 

       
       และก็ไม่รู้ว่าต้องสุ่มตรวจผู้หญิงจำนวนกี่พันกี่หมื่นคนเพื่อให้เจอะเจอผลดีเอ็นเอที่มีความคล้ายคลึงกันจนสามารถจับคู่กันได้ว่าเป็นแม่ลูกกันจริงๆ และที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการตรวจดีเอ็นเอต่อรายก็ไม่ใช่น้อยๆ เป็นจำนวนหลายพันบาท หากต้องตรวจเป็นพันเป็นหมื่นราย คงหมดงบประมาณอีกนับสิบๆ ล้านบาทแล้วได้ตัวผู้กระทำผิดสักรายสองราย เป็นการแก้ไขปัญหาที่คุ้มค่าแล้วหรือ? 

       
       ความจริง ขณะนี้ได้มีข้อเสนอจากเครือข่ายสตรีว่า ความผิดฐานทำให้แท้งลูก ไม่ควรมีบทลงโทษเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น แต่ควรมีบทลงโทษผู้ชายด้วย ซึ่งในหลายประเทศก็ได้บัญญัติบทลงโทษผู้ชายที่ทำให้เกิดการทำแท้ง เพื่อเป็นการเตือนสติคุณผู้ชายทั้งหลายให้ตระหนักว่า การจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงคนใดในขณะที่คุณยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบครอบครัว คุณเองก็ควรมีความรับผิดชอบในการป้องกันการตั้งท้องให้กับผู้หญิงด้วย อย่าผลักภาระนี้ให้ผู้หญิงต้องป้องกันการตั้งครรภ์แต่เพียงฝ่ายเดียวเลย 

       
       แนวทางแก้ปัญหาในลักษณะเช่นนี้ คุณผู้ชายทั้งหลายเห็นด้วยไหมคะ? 

        >> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เท้าลูกใน "ซี่ล้อจักรยาน" ภัยที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม



รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์
       เมื่อเอ่ยถึงจักรยาน พาหนะสองล้อที่พาเราไปได้แทบทุกหนแห่งโดยไม่สิ้นเปลืองพลังงานอื่นใด เว้นแต่พลังงานจากน่องของผู้ปั่น ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายท่านเลือกใช้จักรยานเป็นพาหนะคู่ใจในการขับไปส่งลูกที่โรงเรียนกันก็บ่อย ปั่นไปกินลมชมวิวในสวนสาธารณะกันก็มาก
      
       อย่างไรก็ดี การใช้งานพาหนะชนิดนี้ก็ยังมีอันตรายแฝงอยู่ โดยเฉพาะส่วนของซี่ล้อจักรยานที่อาจมีเท้าเล็ก ๆ ของลูกหลงเข้าไปให้มันปั่นจนทำลูกเล็กน้ำตานองกันได้ 

      
       ภัยที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นข้างต้น รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี บอกว่า เป็นเรื่องที่พ่อแม่หลายคนประมาท ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่า เด็กกับจักรยานมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่าย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากพ่อแม่อุ้มเด็กนั่งซ้อนท้ายจักรยานของผู้ใหญ่ที่ไม่มีการป้องกัน หรือความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานดีพอ
      
       "ผมเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่ามีความเสี่ยง แต่ก็ยังมีหลายท่านมองข้ามกันไป เห็นได้จาก เวลาอุ้มลูกขึ้นนั่งจักรยาน รู้ว่าเท้าลูกอาจเข้าไปติดในซี่ล้อได้ แต่ก็เพียงเตือนลูกแค่ว่า กางขาไว้นะลูก กางขาไว้นะ จนสุดท้าย เด็กก็คือเด็ก เท้าก็เข้าไปอยู่ซี่ล้อ เกิดการบาดเจ็บตามมา พ่อแม่ก็เป็นทุกข์ เพราะสงสารลูก" หัวหน้าศูนย์วิจัยฯ กล่าว
      
       สำหรับการบาดเจ็บของเด็กจากจักรยานที่พบได้บ่อยนั้น หัวหน้าศูนย์วิจัยฯ ท่านนี้ เผยว่า มีอยู่ 2 อย่าง คือ การบาดที่ศีรษะ และการบาดเจ็บจากเท้าที่เข้าไปในกงซี่ล้อ โดยการบาดเจ็บที่ศีรษะนั้นเป็นสาเหตุสำคัญของการตายในเด็กบนจักรยานเลยทีเดียว
      
       ส่วนการบาดเจ็บจากเท้าที่เข้าไปในซี่ล้อจักรยาน ทีมงานมีข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อสร้างความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ระบุว่า ร้อยละ 5.7 ของการบาดเจ็บของเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปีที่มารับการตรวจที่ห้องฉุกเฉิน ในจำนวนนี้ร้อยละ 33 หรือ 1ใน 3 เกิดจากขาเข้าในซี่ล้อรถจักรยาน ซึ่งการบาดเจ็บชนิดนี้มักเกิดขึ้นในเด็กเล็ก อายุเฉลี่ยของผู้บาดเจ็บเท่ากับ 4.7 ปี ร้อยละ 62.5 ของเด็กที่บาดเจ็บมีอายุน้อยกว่า 5 ปี ลักษณะการบาดเจ็บส่วนใหญ่จะเป็นการบาดเจ็บที่ผิวหนังโดยมีลักษณะแบบแผลถลอก แผลฉีกขาด
เท้าลูกในซี่ล้อจักรยาน รู้ว่าเสี่ยงแต่กลับมองข้าม
       อย่างไรก็ดี ทั้งการบาดเจ็บที่ศีรษะ และเท้าของลูกที่เข้าไปติดในซี่ล้อ สามารถป้องกันได้โดยใช้หมวกนิรภัย และการใช้เบาะนั่งพิเศษสำหรับเด็กที่มีระบบยึดเหนี่ยวเด็กติดตัวไว้
      
       ส่วนการบาดเจ็บจากเท้าเข้าไปในซี่ล้อให้ใช้ที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กที่ออกแบบให้มีที่วางเท้า ซึ่งในต่างประเทศมีใช้กันทั่วไป หรือถ้าแบบประหยัดเพียง มีอุปกรณ์ป้องกันเท้าเข้าซี่ล้อเช่นเดียวกับล้อหลังมาติดตั้งที่ล้อหน้า หรือติดตั้งที่วางเท้าเป็นเพียงท่อนไม้ หรือโลหะที่มีความยาวเพียงพอ และวางได้ระดับที่เด็กจะวางเท้าลงได้ ก็จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บได้มาก
      
       "ในเด็กเล็ก พ่อแม่ไม่ควรพาลูกนั่งซ้อนหน้า หรือซ้อนท้ายจักรยานเลย ส่วนเด็กอายุมากกว่า 9 เดือนขึ้นไปถึง 4 ปี แนะนำให้ใช้ที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก และมีอุปกรณ์เสริมติดแน่นทั้งด้านหน้า และด้านหลัง รวมทั้งเลือกใช้จักรยานมีที่กั้นล้อเพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่เท้า หรืออุปกรณ์อื่น ๆ เช่น หมวกนิรภัย หรือที่ป้องกันการบาดเจ็บที่ข้อศอก และเข่า" รศ.นพ.อดิศักดิ์ฝาก
      
       เห็นได้ว่า การบาดเจ็บจากจักรยาน โดยเฉพาะเท้าที่เข้าไปในซี่ล้อนั้น เป็นสิ่งซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยถ้าพ่อแม่มีความรู้ ห่วงใยลูก และเข้าใจในคำว่าอุบัติเหตุ ดังนั้นการเลือกใช้จักรยานควรมีอุปกรณ์ป้องกันที่ดี แล้วความสุขในวันหยุดกับครอบครัวจะมีแต่รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะตามมา

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

“กินสุกแซ่บหลาย ต้านภัยมะเร็งตับ” ภารกิจหนุ่มสาวอีสาน นำท้องถิ่นห่างไกลโรคร้าย



“คนบ้านเฮาโดยเฉพาะบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ มักกินสุกๆ ดิบๆ อย่างก้อยปลา พล่าปลา ปลาร้า ปลาจ่อม หากทำให้สุกรสชาติมันก็ไม่อร่อย โดยที่ไม่รู้ว่าในความอร่อยแบบธรรมชาติตามความเชื่อเดิมๆ นั้น แฝงไว้ซึ่งมหันตภัยร้าย ใกล้ตัวอย่างมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี” นี่เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของชาวบ้านส่วนใหญ่ในพื้นที่ภาคอีสาน ที่ยังคงติดอยู่กับกรอบความเชื่อเดิมๆ และมีพฤติกรรมในการรับประทานอาหารแบบ สุกๆ ดิบๆ จึงทำให้ภาคอีสานกลายเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี ในอัตราที่สูงที่สุดของประเทศ" 
      
       นายแพทย์ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ประธานมูลนิธิสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า เพื่อเป็นการรณรงค์ลดสถิติ การเกิดโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี ที่คร่าชีวิตชาวอีสานในแต่ละปีเป็นลำดับต้นๆ ทางมูลนิธิได้ร่วมมือกับ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด ในการต่อต้านโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี โดยจัดตั้งโครงการ “เรียนรู้เท่าทัน ป้องกันมะเร็งตับ” และสร้างสรรค์กิจกรรมรณรงค์ในพื้นที่ภาคอีสาน ภายใต้ชื่อ “กินสุกแซ่บหลาย ต้านภัยมะเร็งตับ” เพื่อลงพื้นที่ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รวมถึงการปรับเปลี่ยนทัศนคติในการบริโภคอาหารของคนในท้องถิ่นที่นิยมทานอาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะการรับประทานปลาน้ำจืดชนิดมีเกล็ด ซึ่งถือเป็นปลาที่นำเชื้อพยาธิใบไม้ตับเข้าสู่ร่างกายโดยตรง รวมถึงเมนูอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง ทั้งอาหารจำพวกโปรตีนหมักที่มีสารไนโตรซามีน เช่น ปลาร้า ปลาส้ม และอาหารพวกเนื้อสัตว์ผสมดินประสิว เช่น ไส้กรอก เนื้อเค็ม เป็นต้น ล่าสุด ได้ผนึกกำลัง “อสม.เยาวชน” ในการลงพื้นที่เพื่อรณรงค์ให้คนในท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงการเปลี่ยนค่านิยม ความเชื่อ และทัศนคติในการรับประทานอาหารแบบสุกๆ ดิบๆ เพื่อให้ห่างไกลจากมะเร็งร้าย
      
       “เปี๊ยก” ทรงพล พันโยศรี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 หลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ตัวแทนกลุ่ม “อสม.เยาวชน” อีกหนึ่งพลังคนรุ่นใหม่ที่พร้อมอุทิศตัวเองเพื่อชุมชน ได้เล่าประสบการณ์ในการลงพื้นที่ให้ฟังว่า ตนชอบงานบริการด้านสาธารณสุขเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้มีโอกาสได้รับเลือกเป็น 1 ใน 4 แกนนำ “อสม.เยาวชน” ตัวแทนจังหวัดอุดรธานี เข้าร่วมฝึกอบรมความรู้เกี่ยวกับสาเหตุและอันตรายที่เกิดจากโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี จึงอยากจะนำความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรมมาถ่ายทอดให้กับคนในท้องถิ่น ได้เห็นถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี และรู้จักวิธีห่างไกลมะเร็งตับ ซึ่งผมและเพื่อนๆ รวมถึงน้องๆ ในมหาวิทยาลัยจึงได้ร่วมกันระดมความคิดวางแผนจัดกิจกรรมรณรงค์
      
       “กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ผมทำจะเน้นการสร้างสรรค์กิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถเข้าถึงชาวบ้านทุกเพศทุกวัยในพื้นที่บ้านแวง ซึ่งถือเป็นพื้นที่สีแดงจากการสำรวจและเก็บข้อมูลโดยสำนักงานสาธารณสุขประจำอำเภอ โดยมีข้อมูลสถิติจำนวนประชากรที่ตรวจอุจจาระแล้วพบพยาธิใบไม้ในตับ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีสูงที่สุดในตำบลหมูม่น ซึ่งการลงพื้นที่แต่ละคุ้มแต่ละบ้าน ก็จะมีความยากง่ายในการรับรู้ข้อมูลที่แตกต่างกัน”
      
       สำหรับบทบาทหน้าที่ของเปี๊ยกคือ การประสานงานเตรียมพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดให้ชาวบ้านอยากที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม ซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ที่มีความท้าทาย “ผมรู้สึกสนุกและมีความสุขที่ชาวบ้านให้ความร่วมมือ และนี่ถือเป็นความภาคภูมิใจในชีวิตของผมที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสตอบแทนท้องถิ่น และมีส่วนทำให้ชาวบ้านแวง มีอัตราการป่วยและการติดเชื้อที่ลดลง รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินในระยะยาว ซึ่งจะทำให้บ้านแวงหลุดพ้นจากการเป็นพื้นที่สีแดงได้ในที่สุด”
      
       ทางด้าน “เอมมี่” อลิสา สารจันทร์ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 หลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี อีกหนึ่งพลังสำคัญของ “อสม.เยาวชน” จังหวัดอุดรธานี บอกเล่าถึงรายละเอียดของกิจกรรมในการให้ความรู้แก่ชาวบ้านให้ฟังว่า “ระยะแรกของการลงพื้นที่ก็มีอุปสรรคอยู่บ้าง ด้วยความที่เป็นเด็ก บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่พูดสักเท่าไหร่ จึงต้องมาช่วยกันระดมสมอง มองหาวิธีการที่จะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้ค่อยๆ ซึมซับข้อมูล และยอมทำลายกำแพงความเชื่อลงทีละน้อย ในขณะเดียวกันก็ต้องคิดหาหนทางประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อจะได้เป็นกระบอกเสียงและนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ต่ออีกทอดหนึ่ง
      
       “กิจกรรมหลักๆ ที่เรานำไปลงพื้นที่เราจะเน้นความครบวงจร เรียกได้ว่า ได้ทั้งความสนุกพร้อมทั้งได้ความรู้ในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การแสดงบทบาทสมมติ ที่จะหยิบยกนำวิถีชีวิตใกล้ตัวของชาวบ้านมาสร้างสรรค์เป็นบทละครสั้นพร้อมอุปกรณ์ประกอบการแสดงที่น่าสนใจ สำหรับกลุ่มเด็กเราจะเพิ่มลูกเล่นลงไปด้วยการเล่าเรื่องผ่านหุ่นละครมือ ซึ่งบทละครก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพื่อให้มีความหลากหลาย นอกจากนี้ ยังมีเต้นรีวิวประกอบเพลงรณรงค์ประจำโครงการ การคิดค้นเนื้อเพลงใหม่ๆ หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปใน แต่ละพื้นที่ รวมถึงการเล่นเกมวงจรเกิดโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี เกมตอบคำถามชิงรางวัล การสร้างการจดจำด้วย Mascot ลุงสุกลุงดิบ การประกวดเพ้นท์เสื้อรณรงค์ การประกวดร้องเพลงประจำโครงการในรูปแบบคาราโอเกะ การสาธิตวิธีการปรุงอาหารพื้นบ้านที่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้ ล้วนมุ่งหวังให้ชาวบ้านได้ตื่นตัวเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินจากสุกๆ ดิบๆ เป็นการกินอาหารที่ปรุงสุก และตระหนักถึงภัยร้ายจากโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดี ที่เป็นภัยใกล้ตัวที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม”
      
       เช่นเดียวกับ 2 สาว เพื่อนซี้ อย่าง “ฟ้า” อินทุกร อุทุมมา และ “อาย” วลัยลักษณ์ สารทรัพย์ นักศึกษาชั้น ปวช.ปีที่ 3 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น บอกเล่าถึงความรู้สึกและประสบการณ์ในการลงพื้นที่ให้ฟังว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาทำงานเพื่อท้องถิ่น โดยเฉพาะการได้นำเอาความรู้ที่ได้รับจากการอบรมเรื่องมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีมาเผยแพร่ให้พ่อแม่พี่น้องชาวตำบลพระลับ เพราะในแต่ละหมู่บ้านยังคงมีกลุ่มคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีอยู่ประมาณ 10% ถึงแม้ตัวเลขจะดูไม่เยอะมาก แต่หากคนกลุ่มนี้ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ก็จะกลายเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีในที่สุด และผลเสียที่เกิดขึ้นก็จะมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อทั้งตัวผู้ป่วยเอง ครอบครัว และสังคม
      
       “เราต้องร่วมมือร่วมใจกันในการคิดแผนกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้มีความแข็งแกร่ง โดยพวกเราได้มีการจัดตั้งชมรม “อสม.น้อย วอศ.ขอนแก่น” เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือและเพิ่มจำนวนอาสาสมัครเข้าเป็นแนวร่วมในการรณรงค์ นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดตั้งทีมลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคของแต่ละหมู่บ้าน ด้วยการใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากชาวบ้านในการให้ข้อมูลที่เป็นความจริง ทำให้เราเห็นได้ชัดว่า กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงส่วนใหญ่จะเป็นเพศชาย อายุประมาณ 40-50 ปี ที่ยังคงมีพฤติกรรมการกินสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะเมนูก้อยปลา ที่ส่วนใหญ่บอกว่า ถ้าต้องทำให้สุก รสชาติก็จะไม่อร่อย และไม่ใช่ก้อยปลาขนานแท้ และจากข้อมูลเหล่านี้ เราก็นำเอามาคิดต่อยอดเป็นกิจกรรมประชาสัมพันธ์
      
       ซึ่งจะเน้นการมีส่วนร่วมของชาวบ้านเป็นสำคัญ เช่น การจัดกิจกรรมบรรยายความรู้พร้อมอุปกรณ์ประกอบการบรรยายที่จะทำให้เห็นภาพวงจรการเกิดโรคได้ง่ายมากยิ่งขึ้น การพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างชาวบ้าน เครือข่ายอสม.เยาวชน และหน่วยงานในท้องถิ่น รวมทั้งการจัดกิจกรรม เล่นเกมตอบคำถามชิงรางวัล กิจกรรมสันทนาการร้องเพลงประจำโครงการ การแข่งขันสาธิตการปรุงอาหาร การจัดทำป้ายสารสนเทศ เอกสารแผ่นพับ ป้ายผ้ารณรงค์ รวมถึงการจัดรายการวิทยุชุมชนทุกวันเสาร์และอาทิตย์เผยข้อมูลความรู้เกี่ยวกับมหันตภัยของมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีและสารพันวิธีป้องกันที่สามารถเข้าถึงชาวบ้าน ในทุกแหล่งชุมชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งพวกเราคาดหวังว่า การรณรงค์ในครั้งนี้ เราจะสามารถเปลี่ยนความเชื่อและทัศนคติ รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของคนท้องถิ่น เพื่อลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคให้น้อยที่สุดจนถึงขั้นไม่มียอดผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าว”

      
       เหล่านี้คือการแสดงพลังของเหล่า “อสม.เยาวชน” กับการเดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ที่ทุกคน ล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ที่จะทำให้ประชาชนในท้องถิ่นภาคอีสานได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปรุงอาหารและรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัยมากยิ่งขึ้น และยังถือเป็นการร่วมมือกันยกระดับคุณภาพชีวิตของคนท้องถิ่นให้สามารถห่างไกลมหันตภัยร้ายใกล้ตัวอย่างมะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีได้ในระยะยาว

   
เปี๊ยก - ทรงพล พันโยศรี ม.ราชภัฏอุดรธานีเอมมี่ - อลิสา สารจันทร์ ม.ราชภัฏอุดรธานี
   
   
   
ฟ้า - อินทุกร อุทุมมา วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่นอาย - วลัยลักษณ์ สารทรัพย์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น