วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นิทานสอนใจ : พ่อค้าคนเก่ง


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       นิทานแทบทุกเรื่องมักขึ้นต้นว่า "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" นิทานเรื่องนี้ก็เช่นกัน... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าอยู่สองคนที่มีทุนทรัพย์และบริวารพอๆ กัน ทั้งคู่ตั้งใจที่จะเดินทางไปค้าขายยังเมืองที่ห่างไกลเมืองหนึ่ง ระหว่างทางจำต้องผ่านเข้าไปในดินแดนทุรกันดาร เต็มไปด้วยภัยอันตราย พ่อค้าคนหนึ่งขอออกเดินทางไปก่อน อีกคนตกลงตามไปทีหลัง ทิ้งช่วงห่างกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง ลองติดตามดูสิว่า พ่อค้าคนไหนคือคนเก่ง และเพราะเหตุใดเขาจึงสมควรได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อค้าคนเก่ง
     
       ลองนึกถึงภาพขบวนสินค้าที่มีโคลากเกวียนเป็นแถวยาว เกวียนแต่ละเล่มล้วนบรรจุสินค้าต่างๆ มากมาย เพียบพร้อมด้วยเสบียงอาหารบริบูรณ์ เกวียนทุกเล่มมีหนุ่มร่างใหญ่กำยำควบคุมคุ้มกันตลอดการเดินทาง เกวียนสินค้าทุกเล่มในขบวนพร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรค ความทุรกันดาร และอันตรายต่างๆ แต่ใดๆ ในโลกล้วนไม่เที่ยง และแล้วเหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้
     
       ขระที่พ่อค้าคนแรกพาขบวนเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ก้ได้พบกองเกวียนขบวนหนึ่งสวนทางมา กองเกวียนนี้มีคนประมาณ 20 คน นั่งรถเทียมโคสีขาวประดับประดาสวยงาม ล้อเกวียนมีโคลนติดหนาเตอะ แสดงท่าทีให้เห้นว่าได้ฝ่าฝนที่ตกหนักมา คนเหล่านี้บอกพ่อค้าคนแรกว่า "ทางข้างหน้าอุดมสมบูรณ์หนักไม่ต้องกลัวว่าจะลำบากเลย"
     
       พ่อค้าคนแรกฟังแล้วเชื่อคำบอกนั้นสนิท และดีใจมากว่าทางข้างหน้านั้นสะดวกยิ่งนัก จึงปลดของหนักๆ ที่คิดว่าไม่ต้องใช้ออกไป สิ่งหนึ่งที่ทิ้งไปแน่ๆ คือน้ำและภาชนะบรรจุน้ำที่เป็นของหนัก ด้วยหวังที่จะเดินทางอย่างสะดวกขึ้น เมื่อน้ำหนักที่บรรทุกไว้เบาลง
     
       แต่เมื่อเดินทางต่อไปกลับพบแต่ความกันดารหาน้ำและอาหารไม่ได้ ต่างพากันอ่อนเพลียหมดกำลัง พวกยักษ์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นจึงมาจับกินได้ตามสบายทิ้งซากไว้เกลื่อนกลาด
     
       ครั้นได้เวลาที่พ่อค้าคนที่สองออกเดินทาง คงนึกภาพออกว่าแถวขบวนสินค้าครั้งนี้ไม่ต่างจากของพ่อค้าคนแรกเลย เช่นเดียวกันกับเมื่อพ่อค้าสองเดินทางมาได้ระยะหนึ่ง ก็พบขบวนเกวียนที่ลุยโคลนเปียกฝนสวนมา พร้อมทั้งได้รับคำบอกเล่าว่าหนทางข้างหน้าอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักเช่นกัน
     
       แต่พ่อค้าคนที่สองไม่ได้เชื่อตามคำพูดนั้น หากใช้ความสังเกตพินิจพิจารณาดินฟ้าอากาศ พ่อค้าคนนี้พบว่าไม่มีเค้าว่าในจะตกในที่ใกล้ๆ นี้เลย เช่น ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง ไม่เห็นแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ ไม่มีลมเย็มชุ่มชื้นพัดผ่าน ท้องฟ้าก็ไม่มืดครึ้ม อีกทั้งพิจารณาดูลักษณะของกลุ่มคนที่สวนทางมา ก็พบว่าท่าทางดุร้ายแววตาแข็งกร้าว ยืนอยู่กลางแดดก็ไม่มีเงาปรากฏให้เห็น คงมิใช่มนุษย์ธรรมดา
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       เมื่อผิดสังเกตดังนี้แล้ว พ่อค้าคนที่สองก้ออกคำสั่งให้บริวารระแวดระวังอยู่ยามกันให้ดีและเตรียมอาวุธไว้ให้พร้อม อีกทั้งกำชับให้ใช้อาหารและน้ำอย่างประหยัด รีบเร่งเดินทางต่อไปจนถึงยังบริเวณที่พ่อค้าคนแรกประสบภัย เห็นซากคนตายเกลื่อนกลาดจึงสั่งให้หยุดพักใกล้ๆ จัดการระวังภัยอย่างรอบคอบ จึงสามารถพ้นภัยจากหมู่บ้านยักษ์เหล่านั้นและได้ทรัพย์สินมีค่าของเกวียนกองแรกและนำไปขายได้กำไรงดงามในที่สุด
       
       ทีนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าคนไหน คือ พ่อค่าคนเก่ง และความเก่งของเขาเกิดจากสิ่งใด นั่นเพราะว่าเขาเป็นคนไม่ประมาท ไม่เชื่อคำพูดของคนแปลกหน้าง่ายๆ รู้จักระแวงภัย รู้จักป้องกันภัยที่จะมาถึง เป็นคนที่มีสติ ช่างสังเกต และรู้จักใช้ของอย่างประหยัดนั่นเอง
       
       ถ้าอยากเป็นคนเก่ง จะเลือกฝึกตนเองให้มีคุณสมบัติเหมือนพ่อค้าคนใด?......

ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์
       

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นิทานเซน : วิธีปราบวัชพืช


ภาพโดย อวิ้น โซ่วผิง ศิลปินสมัยราชวงศ์ชิง
       บรรดาสานุศิษย์พากันนั่งห้อมล้อมอาจารย์เซน เพื่อขอให้อาจารย์บอกเล่าถึงความลี้ลับของมนุษย์และจักรวาล
      
       อาจารย์เซนไม่เอ่ยวาจา หลับตานิ่ง จากนั้นสักพักจึงโพล่งถามเหล่าสานุศิษย์ว่า"ทำอย่างไรจึงจะกำจัดวัชพืชออกจากพื้นที่โล่งนี้ได้?" บรรดาสานุศิษย์ต่างนิ่งงัน เพราะคิดไม่ถึงว่าอาจารย์เซนจะถามคำถามพื้นๆ เช่นนี้ออกมาได้
      
       ศิษย์ผู้หนึ่งเอ่ยตอบว่า "ใช้จอบเสียมแซะขุดทำลายวัชพืชทิ้งไปให้หมด" เมื่ออาจารย์เซนได้ฟัง เพียงอมยิ้มไม่กล่าวกระไร
      
       ศิษย์อีกผู้หนึ่งตอบว่า "ใช้ไฟเผา วัชพืชทั้งหมดย่อมถูกทำลายไป" อาจารย์เซนได้ฟังแล้ว ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม พร้อมกับผงกหัวเล็กน้อย
      
       ศิษย์คนที่สามตอบว่า "ใช้ปูนขาวโรยบนวัชพืชให้ทั่ว เท่านี้บรรดาวัชพืชก็จะตายหมด" อาจารย์เซนยังคงมีปฏิกริยาเช่นเดิม
      
       ศิษย์คนที่สี่เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า "วิธีการของพวกเขาล้วนไม่ถูกต้อง เพราะล้วนไม่ได้กำจัดถึงรากวัชพืช การกำจัดวัชพืชที่ถูกต้องต้องถอนรากถอนโคน"
ภาพโดย เซียว อวิ๋นฉง ศิลปินสมัยปลายราชวงศ์หมิง
       เมื่อเหล่าสานุศิษย์ต่างหมดคำตอบแล้ว อาจารย์เซนจึงเอ่ยว่า "พวกเจ้าล้วนตอบได้ดี ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจงแบ่งที่ดินผืนนี้ออกเป็นส่วนๆ แล้วใช้วิธีการที่แต่ละคนได้เสนอมาในการกำจัดวัชพืซส่วนของใครของมัน แล้ววันนี้ของปีหน้าพวกเจ้าจงมารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง"
       
       หนึ่งปีผ่านไป เหล่าสานุศิษย์ต่างมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่พื้นที่ซึ่งเดิมเต็มไปด้วยวัชพืชนั้นไม่มีแล้ว กลับกลายเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเหลืองอร่ามไปทั่วผืนดิน เนื่องจากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา บรรดาสานุศิษย์ใช้วิธีการต่างๆ นานา ล้วนไม่สามารถกำจัดวัชพืชได้อย่างหมดจด สุดท้ายจึงได้แต่ปลูกพืชพันธุ์ที่เป็นผลิตผลทางการเกษตรลงไปแทนที่เพื่อป้องกันไม่ให้วัชพืชเติบโตขึ้นมาอีก
       
       ยามที่เหล่าศิษย์มารายล้อมอยู่นั้นพืชพันธุ์ทั้งหลายต่างกำลังสุกงอมเต็มที่ ทว่าอาจารย์เซนได้ล่วงลับดับขันธ์ไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว คำสอนสุดท้ายที่อาจารย์ได้ทิ้งไว้ให้เหล่าสานุศิษย์ก็คือ วิธีกำจัดวัชพืชที่ได้ผลที่สุด มีเพียงวิธีเดียวคือปลูกพืชพันธุ์ที่ใช้การได้ทับลงไปแทนที่ ส่วนวิธีเดียวที่จะทำให้จิตวิญญาณของตนเองไม่ว่างเปล่า คือปลูกฝังด้วยคุณธรรมอันดีงามเท่านั้น



















ที่มา : ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553

360 องศา: ผลวิจัยชี้น้องหมามี ‘คิดบวก-ลบ’




นักวิจัยพบว่าหมามีทั้งมองโลกแง่ร้ายและแง่ดีเหมือนคน
       เอเจนซีส์ – ถ้าเจ้าหมาหงุดหงิดเมื่อคุณเดินออกจากบ้าน แปลว่ามันอาจมองโลกแง่ร้าย งานวิจัยเมืองผู้ดีแสดงให้เห็นว่าสุนัขบางตัวเชื่อว่ามีน้ำอยู่ครึ่งชาม ขณะที่บางตัวเชื่อว่าน้ำพร่องไปครึ่งชาม เช่นเดียวกับคนเรา
       
        ดังนั้น น้องหมาที่มองโลกแง่ดีโดยธรรมชาติจึงมั่นใจว่าเจ้าของจะกลับมา ในทางกลับกัน น้องหมาที่มองโลกแง่ร้ายจะคิดว่าตัวเองถูกทิ้ง
       
        แม้การค้นพบว่าเจ้าตูบมีลักษณะนิสัยหลายอย่างเหมือนมนุษย์อาจไม่ได้ทำให้เจ้าของแปลกใจ แต่นักวิจัยบอกว่าผลศึกษานี้สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมสัตว์บางตัวจึงยังมีความสุขแม้ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ขณะที่บางตัวกังวลเมื่อต้องอยู่ตัวเดียว
       
        “เราสามารถใช้การค้นพบจากการวิจัยด้านจิตวิทยามนุษย์มาพัฒนาแนวทางในการตรวจวัดอารมณ์ของสัตว์
       
        “เรารู้ว่าสภาวะอารมณ์ของคนเรามีผลต่อวิจารณญาณ และคนที่มีความสุขมีแนวโน้มตัดสินสถานการณ์คลุมเครือในแง่บวก
       
        “การศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า รูปแบบนี้ใช้ได้กับสุนัขเช่นเดียวกัน นั่นคือสุนัขที่เชื่อว่ามีน้ำอยู่ครึ่งแก้วมีแนวโน้มกังวลเมื่อต้องอยู่ตัวเดียวน้อยกว่าสุนัขที่มองโลกแง่ลบ” ศาสตราจารย์ไมค์ เมนด์ จากกลุ่มวิจัยพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของสัตว์ มหาวิทยาลัยบริสตอลของอังกฤษ ผู้นำการวิจัย อธิบาย
       
        ทีมนักวิจัยศึกษาสุนัข 24 ตัวในศูนย์ช่วยเหลือสุนัขจรจัด 2 แห่ง ขั้นตอนแรกสุนัขแต่ละตัวจะถูกประเมินว่ามีความกังวลเมื่ออยู่ตัวเดียวหรือไม่ โดยดูจากพฤติกรรม เช่น การเห่า ทำลายข้าวของ รือขีดข่วนประตู
       
        จากนั้น สุนัขทุกตัวจะถูกฝึกให้คาดหวังว่าเมื่อชามถูกนำไปวางในจุดหนึ่งในห้อง จะมีการเติมอาหารในชามนั้น แต่เมื่อนำไปวางอีกที่ ชามจะว่างเปล่า
       
        หลังจากที่สุนัขเรียนรู้ว่ามีเพียงบางชามเท่านั้นที่มีอาหาร นักวิจัยจะนำชามไปวางในจุด ‘กึ่งกลาง’ ในห้อง
       
        สุนัขที่วิ่งไปหาชามใบนั้นเพราะคาดว่าจะมีอาหารถือว่ามองโลกแง่ดี แต่สุนัขที่ไม่สนใจชามใบนั้นถือว่ามองโลกแง่ร้าย และนักวิจัยพบว่าสุนัขที่กังวลเมื่ออยู่ตัวเดียวมีแนวโน้มมองโลกแง่ลบมากกว่า
       
        อนึ่ง การศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากอาร์เอสพีซีเอ มูลนิธิส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ในอังกฤษและเวลส์ และเผยแพร่อยู่ในวารสารเคอร์เรนต์ ไบโอโลจี้


ที่มาข้อมูล : http://kruhumnoi.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ไขปัญหายาคุม เป็นได้มากกว่าคุมกำเนิด


ยาคุมกำเนิด


ไขปัญหายาคุม เป็นได้มากกว่าคุมกำเนิด (Health&Cuisine)

          นอกจากคู่แต่งงานที่ยังไม่พร้อม และสตรีที่มีโรคประจำตัวที่ไม่ควรมีบุตรแล้ว ผู้ที่ต้องการลดอาการไม่พึงประสงค์ ก่อนและระหว่างรอบเดือน รักษาภาวะถุงน้ำในรังไข่ บรรเทาอาการวัยทอง หรือแม้แต่เพื่อลดการเกิดสิวก็ใช้ยาคุมกำเนิดได้อย่างปลอดภัย โดยในครั้งแรกควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรว่าคุณเหมาะกับตัวยาชนิดไหน เพื่อลดอาการข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นคลื่นไส้ อาเจียน บวมน้ำ หน้าเป็นฝ้า น้ำหนักเพิ่ม เป็นต้น แล้วครั้งต่อ ๆ ไป ก็ซื้อใช้เองได้ง่าย ๆ แล้วค่ะ

          ยาคุมกำเนิด แบ่งเป็น 4 ชนิด ทั้งยากิน ยาฉีด ยาฝัง และยาแปะ ส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลกคงหนีไม่พ้นยากิน

 คุณค่าที่มากกว่า...ยาคุม

          นอกจากประโยชน์หลักเพื่อการคุมกำเนิดแล้ว ยาคุมยังมีข้อดีมากมาย ทั้งในแง่สุขภาพและความงาม

 ด้านสุขภาพ

           ภาวะประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ผู้หญิงหลายคนเสียเลือดไม่น้อยในแต่ละเดือนด้วยเหตุประจำเดือนมามาก หากนั่นไม่ใช่สาเหตุจากเนื้องอก ทางออกคือการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอในปริมาณที่เหมาะสม

           ลดอาการปวดประจำเดือน ผู้หญิงแทบทุกคนต้องเคยเผชิญกับการปวดทรมาน ระหว่างมีประจำเดือนไม่มากก็น้อย บางรายถึงขั้นปวดจนหมดสติ นั่นเพราะขณะตกไข่จะมีการหลั่งสารที่เพิ่มแรงบีบตัวของมดลูก การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด จะเข้าไปช่วยระงับการตกไข่และลดปริมาณประจำเดือน และ 90 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ พบว่าอาการปวดหายไป ส่วนรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา อาจสันนิษฐานได้ว่ามีความผิดปกติที่โพรงมดลูก หรือมีก้อนเนื้อช็อคโกแลตซีสต์

           รักษาอาการเยื่อบุโพรงมดลูกงอกผิดที่ โดยฮอร์โมนจะเข้าไปทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกฝ่อ ใช้ได้ทั้งก่อนและหลังผ่าตัด

           รักษากลุ่มอาการก่อนประจำเดือน หงุดหงิด ซึมเศร้า ก้าวร้าว ท้องอืด ขาดสมาธิ อาการบ่งบอกว่าถึงเวลามีประจำเดือนช่างน่ารำคาญ การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโปรเจสติน ชื่อโดรสไพร์โนนจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้

 ด้านความงาม

           รักษาสิว ดูแลผิวพรรณ ปัจจุบันมียาคุมกำเนิดหลายยี่ห้อโปรโมทสรรพคุณด้านความงาม นั่นเพราะมีฮอร์โมนโปรเจสตินบางตัวไปออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน ทำให้สิวลดลง ผิวพรรณเนียนเรียบ แลดูผิวสุขภาพดีขึ้น และบางยี่ห้อยังมีสารช่วยขับน้ำ ที่ช่วยลดอาการบวมน้ำและไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มหลังกินยาคุม

           แต่ข้อผิดพลาดที่ผู้บริโภคมักเข้าใจผิดคือ กินยาคุมเพื่อรักษารูปร่าง ไม่ให้เกิดภาวะอ้วน ซึ่งจริง ๆแล้ว ยาคุมไม่เกี่ยวกับความอ้วนแต่อย่างใด เพราะแทบไม่มีผลต่อน้ำหนักของผู้บริโภคเลย การจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง ขึ้นอยู่กับการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายมากกว่า

          ดังนั้นความเชื่อที่ว่า "ลดสิว ผิวสวย" จึงใช้ได้จริง ส่วนจะอ้วนหรือไม่อ้วนขึ้นอยู่กับคุณไม่ใช่ยาคุม อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลักในการใช้ยาคุมคือเพื่อการคุมกำเนิด ส่วนประโยชน์อื่น ๆ รวมทั้งผิวพรรณที่สวยงามขึ้นนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ การจะใช้ยาคุมกำเนิด เพื่อบำรุงผิวพรรณจึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเท่าไรนัก แม้จะไม่มีผลข้างเคียง แต่อย่าลืมว่ายาคุมไม่ใช่อาหารเสริมนะคะ

 ยาคุมแห่งโลกอนาคต

          ถึงแม้ทุกวันนี้ จะมียาคุมหลายชนิดหลายประเภทให้เลือกใช้กันอย่างสะดวก แต่ในอนาคตเราจะมี"ยาคุมแบบไร้ฮอร์โมน" ทางเลือกใหม่ที่จะช่วยขจัดปัญหาผลข้างเคียงจากฮอร์โมนได้ดีที่สุด

          ในปี 2006 แพทย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและมหาวิทยาลัยแมสสาชูเซตต์ แห่งเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ด้วยผลงานคิดค้นการคุมกำเนิดด้วย RNA สารชีวเคมีในร่างกายของเรา เทคนิคนี้เรียกว่า RNA interference ที่ทำงานโดยการควบคุมอาร์เอ็นเอให้ไปทำปฏิกิริยาต่อไข่ที่สุกให้ฝ่อ จนไม่สามารถปฏิสนธิได้ จากการทดลองกับหนูพบว่าให้ผลดีในการคุมกำเนิดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก่อนจะนำมาใช้กับคนได้นั้น ต้องผ่านขั้นตอนพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกสักระยะค่ะ นอกจากนี้ยังมียาคุมกำเนิดสำหรับเพศชาย ที่อยู่ในขั้นตอนทดลองเช่นกัน

          ยาคุมกำเนิด เป็นยาที่ต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน มีประโยชน์หลักเพื่อการคุมกำเนิด ส่วนผิวพรรณสวยงามเป็นเพียงผลพลอยได้ และปัจจุบันยังไม่มีข้อกำหนดแน่นอนว่าควรใช้กี่ปีจึงจะปลอดภัย อาจใช้ได้นานถึง 10 ปี แต่เพื่อให้มั่นใจ ผู้ที่ใช้ยาคุมเป็นประจำควรพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทุกปี 


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://health.kapook.com

อาหารเช้า....สำคัญไฉน






ใครๆ ก็บอกว่าอาหารเช้าสำคัญ ขาดไม่ได้ หรือไม่ควรขาด แล้วอาหารเช้าสำคัญอย่างไรกันเล่า และจะให้กินอะไรเป็นอาหารเช้า...
ในเมื่อดื่มแค่กาแฟแก้วเดียวฉันก็อยู่ได้จนถึงมื้อกลางวัน ตอนเช้าน่ะแทบจะไม่มีเวลากินอะไรหรอก เพราะต้องรีบไปทำงาน และฉันต้องการลดน้ำหนักแถมยังประหยัดเงินอีกมื้อหนึ่งด้วย
เหล่านี้เป็นคำกล่าวที่เรามักจะได้ยินจากคนที่ไม่กินอาหารเช้า โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานนอกบ้าน ตอนเช้าต้องเร่งรีบออกจากบ้าน โดยไม่ได้กินอาหารเช้า เมื่อไปถึงที่ทำงานก็มีงานมากมาย จนไม่มีเวลากินอะไรจนถึงเวลากลางวัน
 เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า เราไม่ได้กินอาหารนับจากมื้อเย็น ประมาณสิบสองชั่วโมงหรือมากกว่า หากเรางดอาหารมื้อเช้า และกินอาหารกลางวันเป็นมื้อแรกของวัน หมายถึง ร่างกายจะไม่ได้รับอาหารอีกประมาณห้าชั่วโมง รวมแล้วไม่ต่ำกว่าสิบเจ็ดชั่วโมงที่ร่างกายไม่ได้รับอาหาร อาหารมื้อเย็นที่เรากินเข้าไปถูกย่อยและใช้ไป เมื่อเราพักผ่อนนอนหลับ ร่างกายใช้พลังงานน้อย อาหารมื้อเย็นจึงอยู่ได้หลายชั่วโมงกว่ามื้ออื่น ที่เรากินในตอนกลางวัน ซึ่งร่างกายใช้พลังงาน ในการทำกิจกรรมต่างๆ มากกว่า
เมื่อเราตื่นนอนในตอนเช้าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ในขณะที่เราลุกขึ้นเคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่างๆ เราจะรู้สึกหิว ศูนย์หิวที่สมองสั่งให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมาทำให้ท้องว่าง เพราะร่างกายต้องการพลังงาน หากเรายังไม่เติมพลังงานให้กับร่างกาย หรือยังไม่กินอาหารเช้า ร่างกายต้องไปดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ที่สะสมไว้ในตับ ซึ่งร่างกายเก็บเป็นเสบียงไว้ใช้ในยามจำเป็น นำมาใช้เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ แต่ไม่นานนักพลังงานส่วนนี้จะถูกใช้จนหมดไปเพราะไม่มีใหม่มาเติม
 การขาดอาหารเช้าอาจจะทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียง่าย ยิ่งสายใกล้เที่ยงจะเกิดอาการโมโหหิวได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กไม่ควรขาดอาหารเช้า มีงานวิจัยหลายเรื่องที่พบว่า การกินอาหารเช้ามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ในขณะที่ท้องหิวสมองก็ไม่รับรู้เรื่องที่ครูสอนไม่มีสมาธิในการเรียน บางคนไปสอบโดยไม่มีกินอาหารเช้า ทำให้ทำข้อสอบไม่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นเราควรกินอาหารเช้าเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงาน ที่จะต้องใช้ในการทำงานทั้งกำลังกายและสมอง
จากผลการวิจัยหลายเรื่องทำให้กล่าวได้ว่า การกินอาหารเช้า ที่มีคุณค่ามีความสำคัญ นั่นคือ
คนที่กินอาหารเช้ามีพลังงานในการทำงานได้นานกว่า และมีความอ่อนล้าในช่วงกลางวันน้อยกว่าคนที่เริ่มอาหารเช้า ด้วยกาแฟเพียงแก้วเดียว
การกินอาหารเช้าทำให้ช่วยลดปริมาณการกินอาหารว่าง
ถ้าเราปล่อยให้ร่างกายคอยนานเกินไปกว่าจะได้รับอาหารมื้อแรกของวัน ระบบการย่อยอาหารก็จะเฉื่อยชาในการทำงาน ซึ่งมีงานวิจัยพบว่า คนที่ไม่กินอาหารเช้ามีอัตราการเผาผลาญอาหารต่ำกว่า คนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำ
เด็กที่กินอาหารเช้ามีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่า ให้ความร่วมมือดีกว่า และมีสมาธิในการเรียนดีกว่าเด็กที่ไม่ได้กินอาหารเช้า
ปัญหาที่สำคัญของคนไม่กินอาหารเช้าส่วนใหญ่คือไม่มีเวลา นั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัวเท่านั้น หากคุณตั้งใจที่จะกินอาหารเช้า คุณก็ทำได้ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที อย่างไรก็ตาม ควรมีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพนั่นคือ ก่อนนอนคิดรายการอาหารมื้อเช้าว่าจะกินอะไร เตรียมอุปกรณ์ และเครื่องปรุงไว้ก่อนเท่าที่เป็นไปได้
   ตัวอย่างอาหารเช้า ซีเรียลและกล้วยหอม, นมสด, กาแฟ, เครื่องดื่มเย็นนิวทริชั่นแนลโปรตีน(เชค),น้ำเต้าหู้,โจ๊ก,ข้าวต้ม
นอกจากนี้ในแต่ละวันควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ หมู่เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง หมู่ข้าว แป้ง เผือก มัน หมู่พืชผัก หมู่ผลไม้ และหมู่ไขมันจากพืชและสัตว์ ถ้าเป็นไปได้ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ อาหารเช้าควรจะเป็นอาหารหลายอย่าง ไม่ควรเป็นพวกแป้งเพียงอย่างเดียว เพราะในกระบวนการย่อย และดูดซึมอาหารนั้น จำเป็นต้องใช้สารอาหารหลายชนิดทำงานร่วมกัน หากขาดชนิดใดชนิดหนึ่งอาจจะทำให้กระบวนการนั้นไม่สมบูรณ์ และร่างกายไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอาหารได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นการกินอาหารไม่ใช่เพียงแต่อะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกอิ่ม แต่ควรคำนึงถึงประโยชน์ของอาหารที่เรากินเข้าไปด้วย และควรหมุนเวียนชนิดของอาหาร ไม่กินอาหารอย่างเดียวซ้ำซาก
คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับอาหารเช้าของลูก และของตนเองเหมือนกับการอาบน้ำแต่งตัว จัดสรรเวลาส่วนหนึ่งให้กับอาหารเช้า เพื่อให้คุณและสมาชิกในครอบครัว มีพลังงานการทำงานและอารมณ์สดใสตลอดวัน


 ที่มาข้อมูล : http://kruhumnoi.blogspot.com/2010/10/blog-post_22.html

ภาพน่ารัก!!น้องหมาเดินสองขา-ถือกระเป๋าเหมือนไฮโซบัวพิศ



ลูลู สุนัขวัย 1 ขวบ ในมลฑลเหอหนาน ใช้เพียงขาหลังเดินไปรอบๆ แบบเดียวกับมนุษย์
       เอบีซี/เดลิเมล์ - คงไม่แปลกหากคุณเห็นสุนัขมีกระเป๋าคล้องอยู่บนตัว ทว่าน้องหมาตัวหนึ่งในจีน ก่อความตกตะลึงแก่ผู้สัญจรไปมา เมื่อมันสามารถลุกขึ้นเดิน 2 ขาเหมือนกับมนุษย์และคล้องกระเป๋าถือไว้ที่ขาหน้าคล้ายกับสาวๆที่กำลังเดินช้อบปิ้งไม่มีผิด
       ลืม "catwalk" ไปได้เลย เพราะนี่คือ "dog-walk" เพราะ ลูลู สุนัขวัย 1 ขวบ ในมลฑลเหอหนาน ใช้เพียงขาหลังเดินไปรอบๆ แบบเดียวกับมนุษย์ และเมื่อเป็นดังนั้นขาหน้าสองข้างของมันจึงว่างพอที่จะหิ้วตุ๊กตาหมีที่แสนหวงเดินควงไปมาทำตัวเนียนเหมือนเป็นนักช้อปไฮโซอีกต่างหาก
      
       สุนัขสายพันธุ์มิเนเจอร์พินช์เชอร์เพศเมียตัวนี้ สร้างความประหลาดใจรวมทั้งเรียกรอยยิ้มของชาวบ้านในเมืองจูหม่าเตี้ยน มลฆลเหอนาน เมืองที่คุณสามารถพบเห็นมันเดินตัวตรงบ่อยครั้ง
       อย่างไรก็ตามไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามันเริ่มต้นเดินสองขาคล้ายกับมนุษย์ได้ตั้งแต่เมื่อใด โดย โจว กวงชุน ครูปลดเกษียณ เจ้าของบอกว่า "ไม่รู้ว่ามันไปจำวิธีเดินสองขาแบบนี้มาจากไหน คนที่เห็นก็ต่างประหลาดใจ แล้วก็อดขำไม่ได้"


ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แว็กซ์ขนที่ลับ ทรงไหนแอบฮอตติดฮิตในหมู่สาว?!

       By Lady Manager
     
       
วิธีกำจัดขนที่เรียกว่า แว็กซ์ (wax) แค่ป้ายแว็กซ์ลงบนผิวแล้วดึงปรื้ดเดียว ขนก็หลุดมาทั้งยวง แว็กซ์แต่ละทีได้ผลเลิศ เพราะกว่าขนจะโผล่หลอมแหลมขึ้นมาอีกทีก็เกือบเดือนนู่นแหละ
     
       
ได้ผลน่าพอใจแบบนี้เอง สาวๆ บ้านเราเลยฮิตกันนัก ทั้งแว็กซ์ ขา , แขน , คิ้ว , จุ๊กกุแร้ ไปจนถึงแว็กซ์ขนให้น้องสาว! ซึ่งอย่างหลังเนี้ย ว่ากันว่ากำลังมาแรงแซงทุกโค้งการแว็กซ์เชียว
     
       
“ใช่ค่ะ เดี๋ยวนี้คนมาแว็กซ์ขนบริเวณน้องสาวกันเยอะขึ้นมาก”
     
       
โอว ชิน ยาน สาวชาวสิงคโปร์ เจ้าของ Honeypot Wax Boutique ทั้ง 7 สาขาทั่วโลก และสุชัญญา ลิ่มสกุล ผู้บริหารร้าน Honeypotฯ ประจำประเทศไทยประสานเสียงตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
นั่งด้านซ้าย คุณสุชัญญา ลิ่มสกุล /นั่งด้านขวา คุณโอว ชิน ยาน
       สำหรับร้าน Honeypot ฯ มีทั้งหมด 7 สาขา ในประเทศสิงคโปร์ , อินโดนีเซีย, ไทย และมาเลเซียค่ะ ด้วยความที่ร้านเปิดมากว่า 5 ปี แถมได้รับรางวัลบราซิลเลี่ยนแว็กซ์ (Brazilian Wax) หรือการกำจัดขนบริเวณน้องสาวจากนิตยสารแฟชั่นชื่อดังของสิงคโปร์ 3 ปีซ้อนมาการันตี จึงแน่ใจว่า โอกาสนี้ได้เจอกับกูรูตัวจริงเรื่องการแว็กซ์ขนน้องสาวซะแล้ว
     
       
“เดี๋ยวนี้การทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์ ถือเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ยิ่งในต่างประเทศ มันเป็นเรื่องธรรมดาเลย เหมือนกับว่าเราจะไปว่ายน้ำเราก็ต้องทำ บางคนอาจจะแค่เล็ม หรือตัดเอาเอง แต่การทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์มันดีกว่านั้น มันทำให้คุณใส่ชุดว่ายน้ำได้ทุกประเภทด้วยความมั่นใจ” ผู้บริหารชาวสิงคโปร์บอกเล่าถึงกระแสความนิยมในต่างประเทศ
     
       
กลับมาทางบ้านเรา เมื่ออยากรู้ถึงกระแสความฮอตฮิตของบราซิลเลี่ยนแว็กซ์ในเมืองไทย ผู้บริหารสุชัญญาก็เคลียร์ให้เราชัดทุกประเด็นค่ะ
     
       
“ทุกวันนี้บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ในเมืองไทย ถือว่ามีคนที่ให้ความสนใจมากขึ้น เยอะเลยค่ะ บางคนในครั้งแรกอาจจะเข้ามาถามกับทางร้านแล้วกลับไป หลังจากนั้นก็โทรเข้ามาถามใหม่ เป็นคนเดิมกับคำถามเดิม จนสุดท้ายเค้าก็ตัดสินใจเข้ามาทำ ซึ่งหลายคนอาจคิดว่า การทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์ จะเป็นคนต่างชาตินิยมมาทำมากกว่า แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะร้านเรามีคนไทยเข้ามาทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์มากถึง 70-80% ที่เหลือถึงเป็นชาวต่างชาติ”
     
       
ลูกค้าใจสู้ (ไม่หวั่นเจ็บ) มีตั้งแต่เอ๊าะวัย 14 ยันสาว 62!
     
       
“อายุคนที่เข้ามาทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์ที่นี่จะแตกต่างกันไปค่ะ อายุที่น้อยที่สุดที่เข้ามาทำคือ 14 ปีและมากที่สุด 62 ปี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงาน คือ อายุประมาณ 25 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มคนที่รู้จักซีรี่ส์ (series) เรื่องเซ็กซ์ แอนด์ เดอะ ซิตี้ (Sex and the City) แล้ว คือ เรื่องนี้เขาจะมีการพูดถึงบราซิลเลี่ยนแว็กซ์บ่อยๆ เช่นฉากที่มิแรนด้าบอกกับซาแมนต้าว่า ถ้าพรุ่งนี้ฉันจะต้องตาย ฉันจะไปทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์ก่อน เพราะมันเป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้เธอมั่นใจ ซึ่งสาวๆ หลายคนรู้สึกคุ้นเคยกับบราซิลเลี่ยนแว็กซ์จากตรงนี้ด้วย”
     
       
สาเหตุที่สาวๆ ตกลงใจแว็กซ์ตัดแต่งทรงให้น้องสาว ก็มาจากข้อดีในเรื่องความสะอาด และความมั่นใจค่ะ เพราะเวลาจะใส่บิกินี่ (Bikini) ทั้งที คงไม่มีใครหร้อกที่จะยอมปล่อยให้ขนยาวรุงรัง โผล่เล็ดลอดออกมาโชว์ให้คนอื่นเห็น
       “ข้อดีที่สำคัญของการแว็กซ์จุดนี้คือ สะอาดขึ้น เพราะว่าผู้หญิงเรา เวลามีรอบเดือนขนที่รุกรังรัง ก็ยิ่งทำให้อับชื้น รวมถึงเรื่องของกลิ่นอับด้วย แน่นอนว่าขนอาจจะปกป้องเราได้จากสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่จริงๆ แล้วคนที่ดูแลตัวเองไม่ดี มันก็หมายความว่าขนเป็นที่เพาะเชื้อโรคเพาะกลิ่นได้เหมือนกัน
     
       
บางคนอาจจะมองว่าเอาออกแล้วจะไม่ได้ป้องกันอะไร แต่เรามองว่ามันไม่มีผลเลยค่ะ ไม่อย่างนั้นผู้หญิงทั่วไปคงไม่เอาขนรักแร้ออก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องของความต้องการกำจัดขนในส่วนที่ไม่ต้องการมากกว่า และเช่นเดียวกันถ้าคุณห่วงเรื่องการแต่งตัว เช่นคุณจะไปว่ายน้ำแล้วชุดเป็นสีขาวเนี่ย ถ้าไม่แว็กซ์ก็คงไม่ไป เพราะฉะนั้นเรื่องของการแว็กซ์จุดซ่อนเร้นนี้ จึงเป็นการทำให้ผู้หญิงมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น” ผู้บริหารสาวให้ข้อมูล
     
       
แท้จริงแล้ว การแว็กซ์ขนบริเวณจุดซ่อนเร้น มี 2 แบบค่ะ คือแบบบิกินี่ แว็กซ์ (Bikini Wax) หรือแว็กซ์เฉพาะขนด้านข้างจุดซ่อนเร้น เพื่อให้ใส่บิกินี่ได้อย่างสวยงาม มั่นใจว่าไม่มีเส้นขนชี้โด่ชี้เด่โผล่พ้นมาโชว์ความยาว กับอีกแบบคือ บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ นั่นคือแว็กซ์ไปถึงตัวน้องสาวเลย ซึ่งแบบหลังนี้ผู้บริหารร้านสาวแห่ง Honeypotฯ ยืนยันว่าได้รับความนิยมมากกว่า
     
       
“ถ้าเป็นคนไทยที่มาแว็กซ์ขนน้องสาว บอกได้เลยว่าส่วนใหญ่มาแว็กซ์ แบบบราซิลเลี่ยนเกือบทั้งนั้น เพราะการแว็กซ์ไม่ว่าจะแว็กซ์แค่บิกินี่ หรือว่าบราซิลเลี่ยนแว็กซ์ ก็ต้องถอดหมดอยู่ดี ดังนั้นไหนๆ ก็ถอดแล้วส่วนใหญ่จึงเลือกทำบราซิลเลี่ยนไปเลย”
     
       
อาล่ะ รู้เรื่องราวหลากแง่มุมของการทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์แล้ว จากนี้เรามาเจาะลึกถึงขั้นตอน การเลือกสรรแต่งทรงให้น้องสาวกันค่ะ
     
       
เตรียมตัวก่อนแว็กซ์
     
       
“แค่เปิดใจให้กว้าง ทำใจให้สบายๆ คือไม่ต้องเตรียมตัวอะไร แม้มีหนังสือบางเล่ม ที่จะแนะนำให้ทานยาแก้ปวดมาก่อนสิ แต่สำหรับร้านเราบอกได้เลยว่าถ้ามาที่เรา แค่เปิดใจให้กว้างแล้วเข้ามาได้เลย เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ได้เจ็บขนาดนั้น และที่สำคัญ ยาแก้ปวดก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก” กูรูด้านการแว็กซ์ แนะนำถึงขั้นแรกของการเตรียมตัว
     
       
เลือกหลากทรงให้น้องสาว
     
       
คิดตัดผม ยังต้องหาทรงที่ถูกใจ แล้วจะแต่งทรงให้จุดซ่อนเร้นทั้งที คงต้องมีให้คัดสรรกันหน่อย ร้านนี้เค้าก็รู้ใจจัด 4 ทรงเก๋ๆ มาให้เลือกกันค่ะ
       1. Play Boy (Landing Strip)
     
       สำหรับรูปทรงเพลย์บอย (Play Boy) จะมี 2 แบบด้วยกันค่ะ แบบแรกนี้เรียกว่า Landing Strip คือ แว็กซ์ด้านข้างออกให้เกลี้ยงเกลา เหลือไว้เฉพาะขนบริเวณกึ่งกลาง เลี้ยงเป็นแนวยาวขึ้นไป
     
       
ที่มาของชื่อเรียกว่าเพลย์บอยนั้นผู้บริหาร Honeypotฯ ประเทศไทย อธิบายว่า “เป็นชื่อเรียกตามนิตยสารเพลย์บอยค่ะ ที่นางแบบส่วนใหญ่ในนิตยสาร จะนิยมแว็กซ์แบบนี้กัน ซึ่งการแว็กซ์ทรงนี้เจ้าของร้านชาวสิงคโปร์ ก็คิดเองว่าจะชื่ออะไรดีให้ไม่ซ้ำกับคนอื่น ก็เลยตั้งเป็นชื่อนี้ขึ้นมา”
       2. Play Boy (Triangle)
     
       
ถือเป็นทรงเพลย์บอยรูปแบบที่สองค่ะ ทรงนี้จะเหลือผมของน้องเราไว้ เป็นสามเหลี่ยมเล็กๆ ด้านบน (จินตนาการได้ตามภาพ) เอาให้ดูจุ๋มจิ๋มน่ารัก ขณะที่ด้านข้างจะแว็กซ์ ออกให้โล่งเตียน 
       3. L’amour หรือ (Heart Shape)
     
       
ค่อนข้างใช้ฝีมือในการออกแบบ และกำหนดรูปทรงมากกว่าแบบอื่นสักหน่อย สำหรับ “ทรงหัวใจ” นี้ เพราะอย่างที่เห็น ส่วนเว้า ส่วนโค้งเยอะเอาการ ต้องอาศัยช่างที่ชำนาญถึงจะออกมาสวยเนี้ยบ ทว่าสาวบ้านเราหากจะทำต้องคิดถ้วนถี่สักนิด เพราะผู้บริหารหน้าหวาน แนะนำอย่างจริงใจว่า
     
       
“เราจะบอกลูกค้าที่เป็นชาวไทยเสมอว่า ทรงนี้จะไม่ค่อยเหมาะกับคนเอเชียเท่าไหร่ค่ะ เพราะขนของเราส่วนใหญ่จะขึ้นแบบแนบผิวขึ้นไป ไม่ได้ฟู เป็นพุ่มเหมือนอย่างชาวยุโรป เพราะฉะนั้นทำออกมาอาจจะไม่ค่อยสวย ไม่เหมือนทางยุโรปที่ทำออกมาแล้วจะดูฟู มีเนื้อขนขึ้นมา จะสวยต่างกันเลย แต่หากใครชอบก็สามารถทำได้นะคะ เพราะของอย่างนี้แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนด้วย”
       4. Hollywood
     
       
ทรงนี้ดาราฮอลลีวูดเค้าฮิตกันค่ะ (มิน่าถึงตั้งชื่อนี้) ส่วนคำจำกัดความสั้นๆ ของมันคือ “เนียนใส ไร้ขน”รับรองว่าเป็นที่ถูกใจนัก สำหรับผู้ชื่นชอบความเกลี้ยงเกลา ดูราวกับ ย้อนวัยไปเป็นเด็กอีกสักรอบ
       เพราะบราซิลเลี่ยนแว็กซ์แบบฮอลลีวู้ดนี้ เขากำจัดขนทั้งด้านหน้าและด้านหลังออกจนเรียบ ไม่เหลือไว้สักกระจุก จึงให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง แถมดูแลความสะอาดได้ง่ายอีกด้วยคุณสมบัติเด่นหลายข้ออย่างนี้เอง ถึงกลายเป็นทรงฮิตอันดับหนึ่งของร้านนี้ไปเลย
     
       
สนนราคาสำหรับบิกินี่ แว็กซ์ 700 บาท /บราซิลเลี่ยนแว็กซ์ทรงฮอลลีวู้ดราคา 1,500 บาท /ทรงเพลย์บอย 1,600 บาท และทรงหัวใจ 1,700 บาทค่ะ
     
       
เกณฑ์การตัดสินใจเลือกทรง
     
       
ถึงจะได้ยลโฉมแต่ละทรงแล้ว ทว่าหลายคนอาจไม่มั่นใจนัก ว่าทรงไหนจะเหมาะกับเรา มีเกณฑ์การเลือกอย่างไร ต้องดูพื้นฐานรูปทรงน้องสาวตัวเองหรือเปล่า? กูรูสุชัญญาของเรามีคำแนะนำมาว่า
     
       
“การเลือกทรง คงไม่ถึงกับต้องดูว่า ทรงของน้องเราเป็นแบบไหน เพราะขึ้นอยู่กับความชอบเลยค่ะ แต่หากจะหาเกฎณฑ์ในการตัดสินใจ อาจจะมองได้สองด้าน หนึ่งตัวเราเองต้องการรูปแบบไหน เช่นชอบแบบฮอลลีวู้ดเพราะดูแลความสะอาดได้ง่าย หรืออันที่สองสำหรับคนมีคู่แล้วก็อาจมีความชอบของแฟนมาตัดสินด้วย เช่นหนุ่มบางคนอาจจะไม่ชอบแบบฮอลลีวู้ด เพราะดูเด็กเกินไป สาวๆ บางคนก็อาจเชื่อตามแฟน เกณฑ์การตัดสินใจก็จะประมาณนี้มากกว่า”
     
       
หลังตัดสินใจเลือกทรงได้แล้ว เมื่อเข้าสู่ห้องแว็กซ์ ซึ่งขั้นตอนนี้ คงต้องสงวนไม่มีภาพนะคะ (เสียใจกับหนุ่มๆ ที่แอบชะแวบเข้ามาดู ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะจ๊ะ...อิอิ)
     
       
ขั้นตอนการแว็กซ์ สำหรับการทำบราซิลเลี่ยนแว็กซ์ ของ Honeypotฯ มีจุดสำคัญๆ ดังนี้ค่ะ
     
       
- หากขนน้องสาว คุณยาวมาก...ไม่เก็บไว้ถักเปียค่ะ ช่างต้องเล็มขนออกให้เหลือประมาณ 5 มิลลิเมตรก่อน เพราะนั่นเป็นความยาวที่การแว็กซ์ จะได้ผลดีที่สุด (ดึงทีเดียวออกเกลี้ยงทั้งแนว ไม่ต้องทนเจ็บหลายที)
     
       
- ป้ายแว็กซ์ด้วยไม้พาย ซึ่งไม้พายที่นี่ป้ายไม้เดียวแล้วทิ้งค่ะ มั่นใจเรื่องความสะอาดได้ 100%
     
       
- เมื่อแว็กซ์แห้งกำลังดี จึงดึงอย่างรวดเร็วแบบไม่ให้คุณตั้งตัว ประกอบกับเนื้อแว็กซ์ เป็นสูตรเฉพาะที่มีความหนืดพอเหมาะ จึงเป็นเคล็ดลับซึ่งทำให้ลูกค้าร้านนี้ไม่รู้สึกเจ็บมาก
     
       
- สิ่งสำคัญที่สุดคือ ห้องบริการมิดชิด ให้ความรู้สึกปลอดภัย ขณะที่ช่างผู้ให้บริการถูกฝึกมาให้ปฏิบัติตัวให้ลูกค้าไม่รู้สึกเขินอาย สายตาและท่าทางการวางมือไม่จาบจ้วง และมีการพูดคุยเพื่อให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกผ่อนคลายที่สุด
     
       
แว็กซ์แล้วต้องดูแลแบบนี้จ้า
     
       
- หลังแว็กซ์ 24 ชั่วโมงไม่ควรอาบน้ำอุ่น หรืออบซาวน์น่า เพราะจะเป็นการไปเปิดรูขุมขนซ้ำอีก
     
       
- หลีกเลี่ยงแดดจัดหลังทำสัก 8 ชั่วโมง และไม่ควรใส่ชั้นในที่รัดแน่นเกินไป ดังนั้นหากอยากใส่บิกินี่ อวดโฉมริมหาด แนะนำให้แว็กซ์ขนล่วงหน้า อย่าผลีผลามแว็กซ์เสร็จใส่เลย เดี๋ยวน้องหนูคุณดำปี๋ไม่รู้ด้วย...
     
       
- 2-3 วันหลังแว็กซ์ ควรขัดผิดเบาๆ เพื่อป้องกันการเกิดขนคุด ด้วยสครัปละเอียด 



   ที่มาข้อมูล : http://kruracha.blogspot.com