หลังจากที่ลูกลืมตาดูโลก คุณพ่อท่านนี้ยังคงใช้แนวทางดนตรีเลี้ยงลูกอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เพิ่มการแต่งเนื้อเพลงง่าย ๆ ร้องเล่นกับลูกในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น แต่งเพื่อร้องให้กำลังใจเวลาลูกขับถ่าย หรือให้ลูกกินข้าวหมดจาน
"การที่เราใช้เพลงเลี้ยงลูก มันทำให้ขั้นตอนการเลี้ยงลูกของเราสนุก และผูกกันมากขึ้น เช่น ตอนลูกยังเล็ก ๆ เวลาท้องผูก อึไม่ออกสักที พ่อก็กลุ้ม แม่ก็กลุ้ม คุณพ่อจึงแต่งเพลงง่าย ๆ เช่น เบ่งสิมาเบ่งพวกเราสิมาเบ่ง ซึ่งลูกก็ขำ และเริ่มนั่งกระโถนเป็น ตลอดจนมีความสุขในการขับถ่าย" โปรโมเตอร์มัมเล่าเสริม
มาวันนี้ลูกสาว (น้องอาย) อายุได้ 9 ขวบแล้ว การเลี้ยงลูกด้วยเพลงยิ่งตอกย้ำความเชื่อของครอบครัวนี้ที่ว่า การที่พ่อกับแม่ร้องเพลงให้ลูกฟังเป็นประจำ สม่ำเสมอตั้งแต่เขาอยู่ในท้องนั้น จะช่วยพัฒนาการทางอารมณ์ และพัฒนาการทางสมองของเขาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะมีสมาธิและความสงบทางอารมณ์
"ลูกสาวผมเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ร้องโยเย ยิ้มง่าย และจุดสำคัญที่ทำให้ผมมั่นใจคือ เขาเป็นเด็กที่มีประสิทธิภาพการรับฟังที่ดี หรือในทางดนตรีเรียกว่า Pitch ที่ดีนั่นเอง" คุณพ่อนัทเผยสิ่งที่ลูกได้จากเพลง
อย่างไรก็ตาม นอกจากใช้เพลงเลี้ยงลูกแล้ว บ้านนี้ยังมีคาถาที่ว่า "เลี้ยงลูกอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราให้เขาเป็น" เรียกง่าย ๆ ว่า ดันลูกสาวในแบบหวังดี ไม่ใช่คาดหวัง ที่สำคัญต้องรู้จักคำว่าพอ เพราะบางครั้งพ่อแม่ไม่สามารถให้ลูกได้ทุกอย่าง
จากประสบการณ์ที่บ่มเพาะลูกด้วยเพลงเพื่อให้มีสุขภาวะที่ดีทั้งตัว และหัวใจจนในที่สุดเขากับเธอกล้าที่จะบอก และยืนยันต่อใคร ๆ ว่า "เชื่อผมเถอะ ดนตรีมีผลต่อพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ จนกระทั้งลืมตาดูโลก และเติบใหญ่ในวันต่อ ๆ ไปได้จริง ๆ" นี่คือสิ่งที่คุณพ่อนัทฝาก และอยากให้ทุกบ้านมาร่วมพิสูจน์เลี้ยงลูกด้วยเพลงกัน
ที่มาข้อมูล : ASTVผู้จัดการออนไลน์ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น