วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เจาะภารกิจเลี้ยงลูกด้วย..เพลง สไตล์บ้าน "เสวิกุล"


อบอุ่นพร้อมหน้ากับบ้าน "เสวิกุล"
       เป็นที่ทราบกันดีว่า เพลง หรือดนตรีมีผลต่อพัฒนาการลูก แต่จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่ใช้เพลงเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ และเป็นรูปธรรม "ชนะ-จินตณา เสวิกุล" คุณพ่อนักแต่งเพลง เจ้าของผลงานรักเราไม่เก่าเลย และคุณแม่โปรโมเตอร์ ผู้ผลักดันศิลปินมากว่า 10 ปี คือหนึ่งในครอบครัวที่เชื่อในพลังของเสียงเพลง และร่วมกันใช้ดนตรีขับกล่อมลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จนวันนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เสียงเพลงจากพ่อแม่ส่งผลถึงพัฒนาการลูกอย่างน่าอัศจรรย์
      
       ด้วยความเชื่อในพลังของเพลงสู่ภารกิจเลี้ยงลูกด้วยเพลง คุณชนะ หรือพ่อนัท ผู้เขียนหนังสือเลี้ยงลูกด้วยเพลง บอกเล่าให้ ทีมงาน Life and Family ฟังว่า เมื่อรู้ว่าภรรยาตั้งครรภ์ ไม่มีอะไรที่เขาต้องการไปมากกว่าการให้ภรรยาร้องเพลงให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง เนื่องจากเขาเกิด และโตมาในบ้านที่เล่นดนตรี ประกอบกับทำงานในแวดวงดนตรี เขาจึงเชื่อมาโดยตลอดว่า เพลงให้สิ่งดี ๆ มากเหลือเกิน จึงอยากมอบสิ่งดี ๆ แก่ลูกบ้าง
      
       โดยช่วงแรก คุณพ่อนัทจะร้องเพลงให้ลูกฟังก่อน รับหน้าที่เป็นคนร้อง จากนั้นไล่คู่เสียง ไล่สเกลโน้ตขึ้นลงให้ลูกฟังหลาย ๆ เที่ยว และจะร้องเพลงกล่อมลูกนอนทุกคืน แต่ด้วยภาระงานในอาชีพ ทำให้เขาร้องเพลงไม่สม่ำเสมอ จึงเข้าไปปรึกษาภรรยาเพราะมีเวลาอยู่กับลูกมากกว่า แต่ปัญหาคือ ภรรยาเป็นคนร้องเพลงเพี้ยน
      
       ปัญหาข้างต้น โปรโมเตอร์มัมอย่าง จินตณา หรือ แม่ออน สารภาพว่า เธอไม่ถนัดร้องเพลงเลย แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ จนท้ายที่สุดก็สามารถร้องได้ดีขึ้นด้วยความยินยอมพร้อมใจให้คุณสามีแทรกซึมการสอนโดยไม่รู้ตัว
      
       อย่างไรก็ดี ในประเด็นเรื่องการร้องเพี้ยนนั้น คุณพ่อนัทมาพบภายหลังว่า ไม่ได้มีผลต่อลูกในท้อง แต่การเลือกเพลงมาร้องอย่างมีความสุขต่างหาก คือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะถ้าแม่สุข ลูกก็จะสุขตามไปด้วย
      
       "การเลือกเพลงที่ดีนั้น ควรเลือกเพลงที่ร้องแล้วสบายใจ และขอให้มีความสุขในการร้อง โดยเฉพาะเสียงเพลงของพ่อแม่ที่บ้านเราเชื่อว่าเป็นเสียงแห่งความอบอุ่น ผ่อนคลายและปลอดภัย" คุณพ่อนักแต่งเพลงเผย
บ้านนี้ใช้ดนตรีเลี้ยงลูก
       หลังจากที่ลูกลืมตาดูโลก คุณพ่อท่านนี้ยังคงใช้แนวทางดนตรีเลี้ยงลูกอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เพิ่มการแต่งเนื้อเพลงง่าย ๆ ร้องเล่นกับลูกในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น แต่งเพื่อร้องให้กำลังใจเวลาลูกขับถ่าย หรือให้ลูกกินข้าวหมดจาน
       
       "การที่เราใช้เพลงเลี้ยงลูก มันทำให้ขั้นตอนการเลี้ยงลูกของเราสนุก และผูกกันมากขึ้น เช่น ตอนลูกยังเล็ก ๆ เวลาท้องผูก อึไม่ออกสักที พ่อก็กลุ้ม แม่ก็กลุ้ม คุณพ่อจึงแต่งเพลงง่าย ๆ เช่น เบ่งสิมาเบ่งพวกเราสิมาเบ่ง ซึ่งลูกก็ขำ และเริ่มนั่งกระโถนเป็น ตลอดจนมีความสุขในการขับถ่าย" โปรโมเตอร์มัมเล่าเสริม
       
       มาวันนี้ลูกสาว (น้องอาย) อายุได้ 9 ขวบแล้ว การเลี้ยงลูกด้วยเพลงยิ่งตอกย้ำความเชื่อของครอบครัวนี้ที่ว่า การที่พ่อกับแม่ร้องเพลงให้ลูกฟังเป็นประจำ สม่ำเสมอตั้งแต่เขาอยู่ในท้องนั้น จะช่วยพัฒนาการทางอารมณ์ และพัฒนาการทางสมองของเขาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะมีสมาธิและความสงบทางอารมณ์
       
       "ลูกสาวผมเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ร้องโยเย ยิ้มง่าย และจุดสำคัญที่ทำให้ผมมั่นใจคือ เขาเป็นเด็กที่มีประสิทธิภาพการรับฟังที่ดี หรือในทางดนตรีเรียกว่า Pitch ที่ดีนั่นเอง" คุณพ่อนัทเผยสิ่งที่ลูกได้จากเพลง
       
       อย่างไรก็ตาม นอกจากใช้เพลงเลี้ยงลูกแล้ว บ้านนี้ยังมีคาถาที่ว่า "เลี้ยงลูกอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราให้เขาเป็น" เรียกง่าย ๆ ว่า ดันลูกสาวในแบบหวังดี ไม่ใช่คาดหวัง ที่สำคัญต้องรู้จักคำว่าพอ เพราะบางครั้งพ่อแม่ไม่สามารถให้ลูกได้ทุกอย่าง
       
       จากประสบการณ์ที่บ่มเพาะลูกด้วยเพลงเพื่อให้มีสุขภาวะที่ดีทั้งตัว และหัวใจจนในที่สุดเขากับเธอกล้าที่จะบอก และยืนยันต่อใคร ๆ ว่า "เชื่อผมเถอะ ดนตรีมีผลต่อพัฒนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ จนกระทั้งลืมตาดูโลก และเติบใหญ่ในวันต่อ ๆ ไปได้จริง ๆ" นี่คือสิ่งที่คุณพ่อนัทฝาก และอยากให้ทุกบ้านมาร่วมพิสูจน์เลี้ยงลูกด้วยเพลงกัน







ที่มาข้อมูล : ASTVผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น